ก๊อกน้ำแบบดั้งเดิม vs. ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติ: ประหยัดน้ำได้อย่างไร?
- Hygienic Automatic Device
- 30 ก.ค.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 19 พ.ย.

ก๊อกน้ำแบบดั้งเดิม: ความเคยชินที่อาจสิ้นเปลืองกว่าที่คิด !!!
ก๊อกน้ำที่เราคุ้นเคยกันดี มักจะมีการไหลของน้ำอย่างต่อเนื่องตราบใดที่เรายังไม่ปิดก๊อก ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้น้ำเกินความจำเป็นโดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการล้างมือที่ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที
อัตราการไหล: ก๊อกน้ำแบบดั้งเดิมนี้มีการติดตั้งหัวกรองน้ำประหยัดน้ำ (Flow Rate Filter) ทำให้มีอัตราการไหลอยู่ที่ 2 ลิตรต่อนาที เช่นกัน
ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อการล้างมือหนึ่งครั้ง: ประมาณ 1.0 ลิตร
ลักษณะการใช้งาน: แม้จะมีหัวกรองน้ำช่วยลดอัตราการไหล แต่น้ำจะยังคงไหลตลอดเวลาประมาณ 30 วินาทีในขณะที่เราฟอกสบู่และล้างมือ
ลองนึกภาพว่าคุณเปิดน้ำทิ้งไว้ในระหว่างที่กำลังฟอกสบู่ นั่นคือน้ำที่ไหลลงท่อไปโดยเปล่าประโยชน์
ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติ: นวัตกรรมเพื่อการประหยัดน้ำที่ชาญฉลาด !!!
ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติใช้เทคโนโลยีอินฟราเรดในการตรวจจับมือของคุณ ทำให้น้ำไหลเฉพาะเมื่อมืออยู่ในระยะเซ็นเซอร์เท่านั้น ซึ่งช่วยลดการสูญเสียน้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
อัตราการไหล: ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติก็มีการติดตั้งหัวกรองน้ำประหยัดน้ำ (Flow Rate Filter) เช่นกัน ทำให้มีอัตราการไหลอยู่ที่ 2 ลิตรต่อนาที เท่ากับก๊อกน้ำแบบดั้งเดิม
ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อการล้างมือหนึ่งครั้ง: เพียงประมาณ 0.33 ลิตร
ลักษณะการใช้งาน: นี่คือจุดเด่นที่สำคัญ! น้ำจะไหลเมื่อตรวจจับมือได้ และจะหยุดไหลทันทีเมื่อดึงมือออก รวมระยะเวลาที่น้ำไหลจริง ๆ เพียงประมาณ 10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ไม่มีน้ำไหลทิ้งในขณะที่คุณฟอกสบู่
ด้วยการควบคุมการไหลของน้ำให้ตรงกับความต้องการจริง ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การประหยัดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปรียบเทียบภาพรวม: ความแตกต่างที่ชัดเจน แม้อัตราการไหลจะเท่ากัน!!!
ประเภทก๊อกน้ำ | อัตราการไหล (ลิตร/นาที) | ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อการล้างมือหนึ่งครั้ง |
ก๊อกน้ำแบบดั้งเดิม | 2 ลิตร/นาที | ~1.0 ลิตร |
ก๊อกน้ำอัตโนมัติ | 2 ลิตร/นาที | ~0.33 ลิตร |
จากการเปรียบเทียบนี้ คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แม้ว่าก๊อกน้ำทั้งสองประเภทจะใช้อัตราการไหลที่ 2 ลิตรต่อนาทีเท่ากัน แต่ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติสามารถ ประหยัดน้ำได้สูงสุดถึง 67% ต่อการล้างมือหนึ่งครั้ง! ความแตกต่างที่สำคัญนี้มาจากการที่ ก๊อกน้ำอัตโนมัติจะให้น้ำไหลเฉพาะเมื่อมืออยู่ในระยะเซ็นเซอร์เท่านั้น ทำให้ไม่มีน้ำไหลทิ้งในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ขณะฟอกสบู่ ซึ่งหมายถึงการประหยัดน้ำได้มหาศาลหากพิจารณาจากการใช้งานในแต่ละวัน แต่ละเดือน และแต่ละปี โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะที่มีการใช้งานบ่อยครั้ง
การเปรียบเทียบความทนทานและการซ่อมบำรุง (วาล์ว)
ปัจจัย | ก๊อกน้ำแบบดั้งเดิม (ใช้กลไก) | ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติ (ใช้ไฟฟ้า) |
ส่วนควบคุม | วาล์วลูกยาง/ซีลยาง และก้านหมุน (Handle) | โซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) |
การสึกหรอ | สูง เนื่องจากมีการหมุนและแรงดันน้ำกัดกร่อนซีลยางอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปัญหา น้ำรั่วซึม บ่อย | ต่ำ ตัววาล์วทำงานด้วยไฟฟ้า ไม่มีส่วนที่ต้องหมุนหรือเสียดสี จึงมีความทนทานต่อการใช้งานหนักสูง |
ค่าซ่อมบำรุง | ต้องเปลี่ยนซีล/ยางรองบ่อยครั้ง มีค่าใช้จ่ายจิปาถะสูง | เปลี่ยนชิ้นส่วนน้อยกว่า เน้นไปที่การดูแลรักษาเซ็นเซอร์ |
อายุการใช้งาน | ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน มักเกิดปัญหาภายใน 1–3 ปี | อายุการใช้งานของ Solenoid Valve ยาวนานกว่ามาก (หลายปี) |
ตารางเปรียบเทียบต้นทุนรวม (TCO) ระยะ 3-5 ปี
รายการค่าใช้จ่าย | ก๊อกน้ำแบบดั้งเดิม | ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัตโนมัติ |
ต้นทุนเริ่มต้น | ต่ำ (100% เทียบฐาน) | สูงกว่า (200%–300% ของก๊อกธรรมดา) |
ค่าใช้จ่ายค่าน้ำ (ต่อปี) “ตัวเลขการประหยัดค่าน้ำต่อปีที่ใช้ในการคำนวณ TCO นี้ [อ้างอิงจาก สถิติประหยัดน้ำของ EPA และ Portland Water Bureau]” | สูง (เพราะน้ำสูญเปล่าขณะฟอกสบู่) | ต่ำมาก (ประหยัดได้ 30-67% ) |
ค่าซ่อมบำรุง (ต่อ 5 ปี) | สูง (เน้นค่าแรงช่าง และค่าเปลี่ยนซีลที่บ่อยกว่า) | ต่ำ (ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือซ่อม Solenoid Valve ที่ทนทานกว่า) |
ผลตอบแทน | เป็นภาระค่าใช้จ่าย | คืนทุนจากการประหยัดค่าน้ำ และลดงานซ่อมบำรุง |
“สำหรับคำแนะนำการเลือกซื้อก๊อกน้ำอัตโนมัติ การติดตั้ง และการแก้ปัญหาเบื้องต้นอย่างครบวงจร โปรดอ่านที่บทความหลักของเรา”
ข้อมูลอ้างอิง:
ข้อมูลอัตราการไหลและปริมาณน้ำที่ใช้ต่อการล้างมือนี้เป็นค่าประมาณการและสามารถแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรุ่นของก๊อกน้ำ แรงดันน้ำ และพฤติกรรมการใช้งานส่วนบุคคล การคำนวณการประหยัดน้ำ 67% มาจากการเปรียบเทียบปริมาณน้ำที่ใช้ต่อการล้างมือหนึ่งครั้ง (1.0 ลิตรสำหรับก๊อกน้ำดั้งเดิม เทียบกับ 0.33 ลิตรสำหรับก๊อกน้ำอัตโนมัติ)
คำแนะนำจากหน่วยงานด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เช่น EPA (Environmental Protection Agency) ของสหรัฐอเมริกา มักจะส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำในครัวเรือนและอาคารสาธารณะ (อ้างอิงทั่วไปสำหรับการสนับสนุนเทคโนโลยีประหยัดน้ำ)





ความคิดเห็น